โรคเบาหวานกับคลอโรฟิลล์100%

โรคเบาหวาน



ปัจจุบันคุณมีโปรแกรมบำบัดโรคเบาหวานเชิงรุกแล้วหรือยัง?



โรคเบาหวานมีอาการอย่างไรบ้าง 

อาการที่สำคัญ ของเบาหวาน คือ ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะกลางคืน ทานน้ำบ่อยขึ้น กินเก่งขึ้น แต่น้ำหนักลดลง แต่บางรายก็ไม่มีอาการ ตรวจพบโดยบังเอิญ
แพทย์จะวินิจฉัยเบาหวานได้อย่างไร 
การวินิจฉัยเบาหวาน ทำได้โดยการเจาะระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น โดยให้งดอาหารก่อนเจาะเลือด 8 ชั่วโมงถ้าระดับน้ำตาลในเลือด สูงกว่า 126 มก./ดล.ให้ทำซ้ำอีกครั้ง ถ้ายังสูงกว่า 126 มล./ดล. ถือว่าเป็นเบาหวาน
แต่ถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้น แล้วเจาะเลือดโดยไม่ต้องอดอาหาร แล้วระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 200 มก./มล. ก็ถือว่าเป็นเบาหวาน
 แล้วใครบ้างมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน
ผู้ที่ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ ได้แก่
  1. อ้วน ไม่ค่อยรับประทานผักผลไม้
  2. มีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัวสายตรง
  3. เคยคลอดบุตรตัวโต มากกว่า 4 กก.
  4. ความดันโลหิตสูง
  5. ไขมันในเลือดชนิด HDL น้อยกว่า 35 มก./ ดล. 
  6. เคยมีประวัติของการตรวจความทนน้ำตาลกลูโคส แล้วผิดปกติ
แนะนำให้ประชาชนทั่วไป ที่มีอายุเกิน 45 ปี ควรตรวจระดับน้ำตาลเลือดเพื่อหาความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ทุก 3 ปี
 เรารักษาเบาหวานไปเพื่ออะไร
จุดประสงค์ของการรักษาเบาหวาน คือ
1. แก้ไขภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันที่เกิดจากระดับน้ำตาลสูงมาก จนอาจหมดสติ
2. แก้ไข อาการของเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลด ฯลฯ
3. ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากเบาหวาน โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดตีบตัน เช่น อัมพาต โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคไตวาย แผลเรื้อรัง หลอดเลือดแขนขาอุดตันรวมทั้งเบาหวานขึ้นตาและต้อกระจกด้วย

การควบคุม เบาหวานที่ดี คือ สามารถ ควบคุมระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร ได้น้อยกว่า 120 มก./ดล.
 การรักษาเบาหวานทำอย่างไร
การรักษาโรคเบาหวาน ผู้ป่วยมีส่วนสำคัญในการรักษา มากกว่าแพทย์ การดูแลตนเองที่ถูกต้อง จะช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี และไม่มีโรคแทรกซ้อน
  1. การควบคุมอาหาร เลือกทานอาหารที่มีความหวานต่ำ ปรับสัดส่วนอาหารให้เหมาะสม จะทำให้การดูดซึมกลูโคสช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
  2. การให้ยารับประทาน ยารับประทาน จะช่วยกระตุ้นการหลั่งอินสุลิน ทำให้มีการใช้กลูโคสมากขึ้น ลดการสร้างกลูโคสใหม่ในร่างกาย และยับยั้งการดูดซึมกลูโคส ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำลงได้
  3. การฉีดอินสุลิน เพื่อทดแทนอินสุลินที่ขาดไป อินสุลินจะพากลูโคสเข้าไปใช้ในเนื้อเยื่อร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงได้
  4. การออกกำลังกาย ทำให้มีการใช้พลังงาน ระดับน้ำตาลลดลงได้
    การเลือกใช้การรักษาใด ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของเบาหวาน
โดย นพ.รักษ์พงศ์ เวียงเจริญ  อายุรแพทย์

 วิธีบำบัดโรคเบาหวานด้วยคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100%
คลอโรฟิลล์100%ผลิตจากต้นอัลฟัลฟ่า (Alfalfa

 ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้ Alfalfa
เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มีกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด
เช่นไอโซลิวซีน, ลิวซีน, ไลซีน, เมไธโอนิน, พีนิลอะลานีน, เทรโอนีน, ทริปโตฟานและวาลีน เป็นต้น
ซึ่งเป็น กรดอะมิโน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่
อีกทั้ง Alfalfa ยังมีวิตามินอีกมากมายรวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U
รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสีเซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลสอีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนสและโปรตีส นอกจากนี้ Alfalfa ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีกเช่น Chlorophyll , flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น
 
ดังนั้นการใช้น้ำคลอโรฟิลล์100% ในการบำบัด ลดภาวะแซกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
โดยมีวิธีใช้ดังนี้



คลอโรฟิลล์ 100% มีกลไกการทำงานพิเศษกว่าสมุนไพรชนิดอื่นอย่างไร?
1. เสริมสร้างระบบการไหลเวียนเลือดให้เป็นปกติ
2. บำรุงเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดให้แข็งแรงมากขึ้น
3. ปรับสมดุลในเลือด ขับสารพิษ สารเคมีหรือน้ำตาลที่เกินในระบบเลือดออก
4. เสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะตับอ่อนและต่อมอินซูลิน
5. ช่วยเสริมสร้างเซลล์แผลเบาหวานให้หายเร็วขึ้นกว่า 25-50%
6. คลอโรฟิลล์ 100% เน้นการบำบัดรักษาที่ต้นเหตุและรักษาเชิงป้องกัน
7. รับประกันผล100% ระยะเวลาบำบัด 2-4 เดือน (ขึ้นกับอาการที่แสดงในปัจจุบัน)
ปรึกษาฟรี 
 ศูนย์แพทย์ทางเลือกบ้านสมุนไพรทุกสาขา
หรือ Call Center 080-1754222